เมนูหน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Top 30 Nmap ตัวอย่างคำสั่งสำหรับ Sys / Network Admins

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

“Windows 10” ลายระเอียด แต่ละ เวอร์ชัน

Windows-10_Product-Family-500x281

Microsoft ได้เปิดเผลยรายละเอียดเวอร์ชันต่างๆ ของ Windows 10 ชิงจะเเบ่งออกเป็นหลายรุ่นที่มีฟิเจอร์แตกต่างกันออกไป โดย Windows 10 จะมีแบ่องออกเป็นทั่งหมด 6 ร่นได้แก่

Windows 10 Home
เป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป สำหรับครอบครัวใช้ไดกับคอมพิวเตอร์ทั่วไป โน๊คบุ๊ค แบบ 2 in 1 แท็บเล็ต

Windows 10 Mobile
เป็นระบบปฎิบัติการ ที่ ออกแบบสำหรับโทรศํพท์มือถือรองรับการทำงาน Universal Windows เหมือนกับ Windows 10 บนคอมพิวเตอร์

Windows 10 Pro
สำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป โน๊ตบุ๊ค โน๊ตบุ๊คแบบ 2 in 1 เหมือนกับรุ่น Home แต่บวกฟังก์ชั่นสำหรับการทำงานเรื่องธุรกิจ มีระบบรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ และการทำงานแบบ Remote Desktop แบบเคลื่อนที่ และการใช้งานด้านเทคโนโลยี Cloud ด้วย

Windows 10 Education
เป็นระบบปฏิบัติการ Windows สำหรับใช้งานในด้านการศึกษา ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Windowd 10 Enterprise โดยออกแบบสำหรับบุคลากรด้านการศึกษาเช่น เจ้าหน้าที่ ผู้บริหาร ครู และนักเรียน ในสถานศึกษา ต่างๆ โดยจะมีให้ลูกค้าผ่านทาง VL สำหรับสถานศึกษา ส่วนผู้ใช้ ภายใต้ Windows 10 Home และ Windows 10 Pro จะได้รับ Windows 10 Education ได้ฟรีทางเว็บไซต์ VLSC

Windows 10 Mobile Enterprise
เป็นระบบปฏิบัติการขั้นสูง สำหรับบริษัทและองค์กรขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ โดยสร้างต่อยอดจากคุณสมบัติทั้งหมดใน Windows 10 Pro เพื่อเพิ่มความปลอดภัยกับ อุปกรณ์ ข้อมูลสำคัญของบริษัท ข้อมูลส่วนบุคคล แอปพลิเคชัน ซึ่งต้องปกป้องจากภัยคุกคามที่มีความรุนแรงบนโลกออนไลน์มากขึ้น ทั้งนี้ Windows 10 Enterprise ซื้อได้ผ่านทาง Volume Licensing (VL)

Windows 10 lot Core
สำหรับพวกอุปกรณ์ราคาประหยัด เช่น gateways เป็นต้น

MSHoloLens_MixedWorld_LivingRoom_LongBrowser_RGB-500x333

ขอบคุณภาพ : https://blogs.windows.com/bloggingwindows/2015/01/21/the-next-generation-of-windows-windows-10/
ทีมา : http://www.it24hrs.com/2015/windows-10-editions-name/

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

MIT proves flash is as fast as RAM, and cheaper, for big data

800px-wikimedia_foundation_servers-8055_17-100596212-primary.idge
40 servers using 10TB of RAM were no faster than 20 using 20TB of flash

When it comes to high-speed data processing, RAM has always been the go-to memory for computers because it's tens of thousands of times faster than disk drives and many times faster than NAND flash.

Researchers at MIT, however, have built a server network that proves for big data applications, flash is just as fast as RAM and vastly cheaper.

In the age of big data, where massive data sets are used to uncover the purchasing trends of millions of people or predict financial market trends based on millions of data points, a single computer's RAM won't do.

For example, the data needed to process a single human genome requires between 40 and 100 typical computers.

NAND flash is about a tenth as expensive as RAM and it also consumes about a tenth as much power. So at the International Symposium on Computer Architecture last month, MIT researchers revealed a new system that proved flash memory is just as efficient as conventional RAM, but it also cuts power and hardware costs.

"Say, we need to purchase a system [to] process a dataset that is 10TBs large. To process it in DRAM, we would need a cluster of about 100 computers, assuming servers with 100GB of DRAM," Arvind Mithal, the Johnson Professor of Computer Science and Engineering at MIT, said in an email reply to Computerworld. "Such a cluster will cost around $400K to build."

Each server was connected to a field-programmable gate array, or FPGA, a kind of chip that can be reprogrammed to mimic different types of electrical circuits. Each FPGA, in turn, was connected to two 500GB flash chips and to the two FPGAs nearest it in the server rack.

Networked together, the FPGAs became a fast network that allowed any server to retrieve data from any flash drive. The FPGAs also controlled the flash drives.

Arvind, as Mithal typically goes by, said to process the same 10TB dataset in flash, only 10 computers -- each with 1TB of flash storage -- would be needed. Even including the cost of FPGA-based accelerator hardware, the total price of the system would be less than $70,000 or so, he said.

"This price may go down even further if we consider the fact we don't need as much DRAM on each server on a flash based system," Arvind said. "If we use a lower-end server with less DRAM, the system will cost around $40K."

Maintaining a flash-based system is also much cheaper, he continued, because flash consumes much less power than DRAM, and also because it would require fewer servers. Even when the additional power consumption of flash and FPGA accelerators were factored in, MIT's server network prototype showed that the flash storage device added only about 10% power consumption to the whole system.

In fact, even without their new network configuration, the researchers showed that if servers working on a distributed computation use disk drives to retrieve data just 5% of the time, performance is the same as if it were using flash.

For example, 40 servers with 10TB of RAM could not handle a 10.5TB computation any faster than 20 servers with 20TB worth of flash memory. And, the flash would cost less and consume a fraction of the power.

The researchers were able to make a network of 20 flash-based servers competitive with a network of RAM-based servers by moving some of the computational power off the servers and onto the flash drives' controller chips.

The researchers used flash drives to preprocess some of the data before passing it back to the servers, increasing the efficiency of the distributed computation.

"This is not a replacement for DRAM [dynamic RAM] or anything like that," Arvind said.

Arvind performed the work with a group of graduate students and researchers at Quanta Computer. The research showed there are likely many applications that can replace RAM and take advantage of a flash-based computer architecture's lower cost.

"Everybody's experimenting with different aspects of flash. We're just trying to establish another point in the design space," Arvind said

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Top 5 แผ่นกู้ภัยฟรีสำหรับเครื่องมือ บริหาร คอมพิวเตอร์ของคุณ

แผ่นดิสก์กู้ภัยสามารถประหยัดชีวิตสำหรับดูแลระบบ เต็มไปด้วยการวินิจฉัยและซ่อมแซมเครื่องมือต่างๆที่พวกเขาสามารถทำสิ่งที่ต้องการแก้ไข Master Boot Record (MBR), การกู้คืนรหัสผ่านการตรวจสอบและทำความสะอาด rootkitor เพียงช่วยให้คุณในการกู้ข้อมูลโดยการโอนได้จากไดรฟ์ได้รับความเสียหายไปยังตำแหน่งอื่น นี่คือทั้งหมดที่ดีที่สุดในหนึ่งเดียวบูต CD / USBs ที่ผู้ดูแลระบบสามารถใช้ในการแก้ไขปัญหาและซ่อมแซมระบบ Linux หรือ Windows - เพิ่มประโยชน์ทุกคนที่จะพกพาของคุณ

1. Hiren Boot CD

สำหรับ Hiren Boot CD อ่าน "ชุดปฐมพยาบาลสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ" - และที่มันเป็น! Hiren Boot CD เป็นหนึ่งในซีดีกู้ภัยที่นิยมมากขึ้นออกมีและมีความมั่งคั่งของเครื่องมือรวมทั้งเครื่องมือในการ defrag เครื่องมือสำรองไดรเวอร์, เครื่องมือการสำรองข้อมูล, การป้องกันไวรัสและเครื่องมือป้องกันมัลแวร์, เครื่องมือตรวจจับ rootkit ข้อมูลที่เชื่อถือเช็ดเครื่องมือและเครื่องมือแบ่งพาร์ทิชันในหมู่ อื่น ๆ
Hiren Boot CD มีให้ดาวน์โหลดเป็น ISO สำหรับการติดตั้งง่ายต่อ USB หรือการเขียนแผ่นซีดี
เมนูการบูตช่วยให้คุณสามารถบูตเข้าสู่สภาพแวดล้อม MiniXP สภาพแวดล้อมกู้ภัย Linux-based เรียกใช้ชุดเครื่องมือหรือบูตโดยตรงจากพาร์ทิชันที่ระบุบ

Hiren_PreBoot

สภาพแวดล้อม MiniXP ดังแสดงในภาพด้านล่างเป็นเหมือนสก์ท็อป Windows XP ทุกอย่างสวยมากที่เกิดขึ้นจากการเปิด HBCD (โปรแกรมเดี่ยวกับเมนูแบบเลื่อนลงที่มีทางลัดไปยังโปรแกรมสำเร็จรูป)

Hiren_MiniXPBooted

2. FalconFour’s Ultimate Boot CD

Boot ที่สุด FalconFour ซีดีจะขึ้นอยู่กับ Hiren ซีดี Boot กับเมนูการบูตที่กำหนดเองและทั้งกลุ่มของเครื่องมือการปรับปรุง. ของ UBCD มีเครื่องมือที่ให้ข้อมูลระบบเครื่องมือที่กู้คืน / ซ่อมแซมพาร์ทิชันหักเครื่องมือที่กู้คืนข้อมูลได้เป็นอย่างดี เป็นสาธารณูปโภคไฟล์เครื่องมือการกู้คืนรหัสผ่านเครื่องมือเครือข่ายเครื่องมือกำจัดมัลแวร์และอื่น ๆ อีกมากมาย
UBCD F4 เป็นใช้ได้สำหรับการดาวน์โหลดเป็นไฟล์ ISO เพื่อให้คุณสามารถเขียนมันให้แผ่นซีดีหรือใช้ในการสร้างไดรฟ์ USB บูต
คล้ายกับ Hiren Boot ซีดี, เมื่อคุณบูต UBCD F4 ของคุณนั้นจะมีเมนูให้คุณเลือกที่จะบูตเข้าสู่สภาพแวดล้อมลินุกซ์, สภาพแวดล้อม MiniXP หรือเรียกใช้ชุดเครื่องมือแบบสแตนด์อโลน ขณะที่คุณเลื่อนเขียนแผ่น, รายละเอียดของแต่ละรายการจะได้รับที่ด้านล่างของหน้าจอ

F4UBCD1_PreBoot

คล้ายกับที่ของ Hiren Boot ซีดี, สภาพแวดล้อม MiniXP เป็นเหมือนสภาพแวดล้อมเดสก์ทอป Windows XP, เพียง แต่มันเป็นจริงที่มีน้ำหนักเบาและก่อนเต็มไปด้วยการเป็นเจ้าภาพของการวินิจฉัยและซ่อมแซมเครื่องมือ

F4UBCD2_MiniXPBooted

เมื่อสก์ท็อปได้โหลดขึ้นให้เลือกจากหนึ่งในการประยุกต์ใช้ทางลัดที่มีอยู่เปิดเมนู HBCD หรือไปที่เมนู Start จะได้รับไป

3. SystemRescueCD

SystemRescueCd เป็นแพคเกจลินุกซ์ที่ใช้สำหรับการแก้ไขปัญหาและลินุกซ์ระบบของ Windowsแผ่นมีโปรแกรมป้องกันไวรัส, มัลแวร์กำจัดและเครื่องมือกำจัดรูทคิทเช่นเดียวกับเครื่องมือที่จะช่วยในการจัดการหรือพาร์ทิชันซ่อมแซมกู้คืนข้อมูลของคุณสำรองข้อมูลหรือโคลนไดรฟ์ของคุณ SystemRescueCd สนับสนุน ext2 / ext3 / ext4, ReiserFS, btrfs, XFS, jfs, VFAT, NTFS และระบบไฟล์เช่นเดียวกับไฟล์ระบบเครือข่ายเช่น Samba และ NFS นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับการแก้ไขปัญหาเครือข่ายการแก้ไขไฟล์และ bootloader เครื่องมือการฟื้นฟู
SystemRescueCd นี้สามารถดาวน์โหลดเป็นไฟล์ ISO เพื่อให้คุณสามารถเผามันให้แผ่นซีดีหรือใช้ในการสร้างไดรฟ์ USB บูต
เมื่อคุณบูต SystemRescueCd เมนูก่อนบูตช่วยให้คุณมีความหลากหลายของตัวเลือกที่ช่วยให้คุณสามารถบูตโดยตรงในสภาพแวดล้อมแบบกราฟิกหรือบรรทัดคำสั่ง

SystemRescueCD1_PreBoot1

ในภาพด้านล่างผมได้เตะในสภาพแวดล้อมแบบกราฟิกและเริ่มต้นการประยุกต์ใช้ chkrootkit จากหน้าต่างเทอร์มิซึ่งการค้นหาสำหรับรูทคิทติดตั้งในระบบ โปรแกรมอื่น ๆ สามารถเรียกใช้โดยตรงจากท่าเรือในลักษณะคล้ายการใช้ข้อโต้แย้งและพารามิเตอร์ตามความจำเป็น

SystemRescueCD1_xstart

4. Ultimate Boot CD

Boot CD Ultimate ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณแก้ไขระบบ Windows และ Linux ใช้ชุดของการวินิจฉัยและซ่อมแซมเครื่องมือ มันมีอะไรจากการกู้คืนข้อมูลและเครื่องมือโคลนไดรฟ์ BIOS การจัดการหน่วยความจำและเครื่องมือทดสอบ CPU
UBCD สามารถดาวน์โหลดในรูปแบบ ISO สำหรับการติดตั้งง่ายต่อ USB หรือการเผาไหม้ซีดี
หมายเหตุ: UBCD4Win (http://www.ubcd4win.org/) เป็นพี่ชายของ UBCD สร้างขึ้นเฉพาะสำหรับระบบวินโดวส์
เมื่อคุณบูตด้วย UBCD คุณจะพบกับอินเตอร์เฟซ DOS ตามที่คุณไปขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของระบบที่คุณต้องการที่จะแก้ไขปัญหา

UBCD_PreBoot

5. Trinity Rescue Kit

ทรินิตี้กู้ภัย Kit เป็นซีดีกู้ภัย Linux-based ที่มุ่งเน้นเฉพาะการกู้คืนและการซ่อมแซมเครื่อง Windows หรือลินุกซ์ มันมีช่วงของเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถใช้สแกน AV รีเซ็ตรหัสผ่านที่หายไปของ Windows สำรองข้อมูล, การกู้คืนข้อมูลไดรฟ์โคลนปรับเปลี่ยนพาร์ทิชันและเรียกใช้เครื่องมือตรวจจับ rootkit
ทรินิตี้ชุดกู้ภัยสามารถดาวน์โหลดในรูปแบบ ISO สำหรับการติดตั้งง่ายต่อ USB หรือการเผาไหม้ซีดี
บูตเมนูให้คุณเลือกที่จะเริ่มต้น TRK เป็นโหมดที่แตกต่างกัน (มีประโยชน์ถ้าคุณกำลังมีปัญหาในการโหลดในโหมดเริ่มต้น)

Trinity_PreBoot

เมื่อคุณได้รับทรินิตี้กู้ภัยชุดเมนูง่าย 'เพียงแค่นำทางผ่านรายการเพื่อเลือกเครื่องมือที่จะดำเนินการ นอกจากนี้คุณยังสามารถสลับไปยังบรรทัดคำสั่งถ้าคุณต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้นและรู้สึกพอใจกับคำสั่ง Linux-based

Trinity_EasyBootMenu

อ้างอิง google http://www.gfi.com/blog/top-5-free-rescue-discs-for-your-sys-admin-toolkit/

By Arc

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Twitch เริ่มปรับการให้บริการสตรีมมิ่งจาก Flash มาใช้ HTML 5

ข้อบกพร่องของ Flash ที่ก่อให้เกิดช่องโหว่ ยังสร้างความกังวลด้านความปลอดภัยให้กับเหล่าเว็บไซต์จำนวนมากอย่างต่อ เนื่อง จนหลายเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มใหญ่ๆ เริ่มเบือนหน้าหนี Flash และหันไปใช้ HTML 5 กันมากขึ้น เช่นเดียวกับ Twitch บริการวีดีโอสตรีมมิ่งเริ่มปรับตัวควบคุมการเล่นวีดีโอเกมมาใช้ HTML 5 แล้ว

HTML 5

Twitch เริ่มปรับการให้บริการสตรีมมิ่งจาก Flash มาใช้ HTML 5

การปรับบางส่วนในบริการสตรีมมิ่งของ Twitch เริ่มต้นไปที่การปรับตัวควบคุมการเล่นวีดีโอ จากเดิมที่ใช้ระบบ Flash มาเป็น HTML 5 โดยในระยะเริ่มแรกนี้การแสดงผลวีดีโอยังเป็นรูปแบบ Flash อยู่ แต่ในอนาคต Twitch จะปรับบริการสตรีมมิ่งทั้งหมดให้กลายเป็น HTML 5 อย่างเต็มรูปแบบ

ในการปรับเปลี่ยนครั้งนี้สืบเนื่องจากช่องโหว่ที่ถูกค้นพบอีกครั้งในระบบ Flash ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยได้ในอนาคต จนทำให้เว็บไซต์หรือหลายแพลตฟอร์มเริ่มหลีกเลี่ยงการใช้ Flash มาเป็น HTML 5 มากขึ้น อาทิ Facebook, Firefox, YouTube, Google Chrome ที่ล้วนแล้วมีการแสดงออกต่อการยุติการใช้ Flash อย่างชัดเจน

อ้างอิง

ทีมา : http://www.aripfan.com/twitch-dropping-flash-controls-for-html5/

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

“อ่านน่ะจ้ะ” ความเสี่ยงของการใช้ Windows XP ที่หมดอายุแล้ว

xpหมดอายุ
มีบทความ-รายงาน-บทวิเคราะห์จำนวนมากที่พูดถึงปัญหาของการใช้งาน Windows XP ที่หมดอายุแล้ว ผมขออ้างอิงรายงานของ Lenovo ที่พาดหัวไว้ซะน่ากลัวว่า Windows XP – A Compliance and Risk Nightmare in April 2014 ซึ่งแบ่งปัญหาออกเป็น 3 ข้อ
  1. ความเสี่ยงทางเทคนิคที่จะโดนโจมตีผ่านช่องโหว่ความปลอดภัย (ตามที่อธิบายไปแล้วข้างต้น)
  2. ความเสี่ยงที่จะถูกจารกรรมข้อมูล แล้วองค์กรโดนปรับหรือโดนฟ้อง (บางประเทศมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลของลูกค้า ทำหายแล้วโดนปรับ)
  3. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระบบไอทีในระยะยาวจะเพิ่มสูงมาก การบำรุงรักษาระบบปฏิบัติการเก่ามีต้นทุนระยะเวลาสูงกว่าระบบปฏิบัติการ ใหม่ๆ ที่มีความพร้อมกว่าในทุกด้าน

ผมเชื่อว่าของพวกนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาครับ อีกไม่นานเราคงเห็น "การโจมตี Windows XP ครั้งใหญ่" ที่สร้างผลสะเทือนในวงกว้าง ซึ่งจะกลายเป็นจุดเปลี่ยน กระตุ้นให้หน่วยงานต่างๆ หันมาสนใจปัญหานี้ (แต่ระหว่างนั้นจะโดนลูกหลงด้วยหรือไม่ ก็ขึ้นกับความใส่ใจขององค์กรแล้ว)

บทสรุป: ความเจ็บปวดที่ต้องก้าวผ่าน

ผมเข้าใจคนที่ยังใช้ XP อยู่ในตอนนี้ว่า ใจจริงก็อยากเปลี่ยนแหละนะ แต่ติดขัดว่าต้องจ่ายเงินเพิ่ม (ซื้อคอมใหม่หรือไลเซนส์ใหม่ และอัพเกรดแอพพลิเคชันองค์กรใหม่ในกรณีคอมองค์กร) และต้องปรับตัวฝึกการใช้งานระบบปฏิบัติการใหม่ๆ อีกมาก

แต่มันไม่มีทางเลือกครับ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ไม่ใช่เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบดั้งเดิมที่ใช้ กันไปจนพัง แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของ "โซลูชันทางไอที" ที่มีต้นทุนค่าบำรุงรักษาอยู่ตลอดเวลา วันนี้ได้เวลาควักเงินอีกก้อนเพื่อต่ออายุโซลูชันสำหรับอีก 5-10 ปีข้างหน้าแล้ว

บทความเก่าที่เกี่ยวข้อง:

ที่มา : https://www.blognone.com/node/52382

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Google Chromixium 1.5 เปิดให้โหลดแล้วดาดูกันเลย

Chromixium 32 บิตได้ถึงสถานะที่มั่นคงและจะสามารถใช้ได้สำหรับการดาวน์โหลดข ว่าในขณะนี้โดยคลิกที่ลิงค์ข้างต้น โปรดอ่านประกาศการเปิดตัวเต็มรูปแบบได้ที่หน้าโครงการ GitHub ก่อนที่จะดาวน์โหลด Chromixium เป็น 32 บิต การกระจ่ายการใช้ภาษาอังกฤษกับการสนับสนุนบางส่วนสำหรับภาษาอื่น ๆ Sourceforge ได้รับการประสบปัญหาเมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อให้รุ่นล่าสุดได้รับการเผยแพร่บน GitHub (ทั้งโดยตรงและดาวน์โหลด)

Minimum requirements: 512MB RAM (1GB preferred), 1GHZ PAE capable Intel/AMD processor.

aattachment.phpattachment.phpattachment.phpattacshment.phpchrome-web-store

  • Download the file Chromixium-1.5-i386.iso from the links above (32 bit download for PC)
  • The MD5 file verification checksum is d29b37c8c062ae4ac86afc8fbbad0d05.
  • If you prefer, you can download Chromixium as a torrent. Chromixium torrents are now also now hosted on Linuxtracker.
  • For current Chromixium 1.0 32 bit users, please download and install service pack 1.
Chromixium OS 1.0 Screencast



Chromixium 1.0  สุดท้ายได้รับการเผยแพร่Chromixium ผสมผสานความเรียบง่ายสง่างามของ Chromebook ที่มีความยืดหยุ่นและความมั่นคงของอูบุนตูของการเปิดตัวการสนับสนุนระยะยาว Chromixium ทำให้หน้าเว็บและศูนย์กลางของประสบการณ์ของผู้ใช้ แอปพลิเคชันเว็บและ Chrome ทำงานตรงออกมาจากเบราว์เซอร์ที่จะเชื่อมต่อคุณกับทุกการทำงานส่วนบุคคลของคุณและเครือข่ายการศึกษา ลงชื่อเข้าใช้ในการซิงค์โครเมี่ยมปพลิเคชันทั้งหมดของคุณและที่คั่นหน้า เมื่อ คุณออฟไลน์หรือเมื่อคุณจำเป็นต้องใช้พลังงานมากขึ้นคุณสามารถติดตั้งจำนวน การใช้งานใด ๆ สำหรับการทำงานหรือเล่นรวมทั้ง LibreOffice, Skype, ไอน้ำและทั้งมากเพิ่มเติม การปรับปรุงการรักษาความปลอดภัยมีการติดตั้งได้อย่างลงตัวและง่ายดายใน พื้นหลังและจะถูกจัดจนถึง 2019 คุณสามารถติดตั้งในสถานที่ Chromixium ของระบบปฏิบัติการที่มีอยู่หรือควบคู่ไปกับ Windows หรือ Linuxเทคนิคที่ต่ำลง     Chromixium 1.0 เป็นระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิตสำหรับ x86 และระบบคอมพิวเตอร์ที่เข้ากันได้     Chromixium อยู่บนพื้นฐานของลินุกซ์อูบุนตู 14.04 Trusy Tahr การเปิดตัวการสนับสนุนระยะยาว     Chromixium ทำงานบนลินุกซ์ 3.13.0-51.84 PAE ด้วยการสนับสนุนได้ถึง 64GB แรม     Chromixium มีที่มาเปิดเว็บเบราเซอร์โครเมี่ยมให้เข้าถึง Chrome และบริการของ Google Google ลงชื่อเข้าใช้เป็นตัวเลือก     Adobe PepperFlashPlugin มีให้เพื่อเพิ่มประสบการณ์การท่องเว็บและเราขอให้คุณยอมรับใบอนุญาตของ Adob​​e เมื่อคุณติดตั้ง Chromixium System requirements : 512MB RAM (1GB preferred), 1GHZ PAE capable Intel/AMD processor. 

50 Windows 8 Keyboard Shortcuts ที่คุณยังไม่รุ้จัก

ShortcutDescription
Windows Key + DShow Desktop
Windows Key + COpen Charms Menu
Windows Key + FCharms Menu – Search
Windows Key + HCharms Menu – Share
Windows Key + KCharms Menu – Devices
Windows Key + ICharms Menu – Settings
Windows Key + QSearch For Installed Apps
Windows Key + WSearch Settings
Windows Key + TabCycle through open Modern UI Apps
Windows Key + Shift + TabCycle through open Modern UI Apps in reverse order
Windows Key + .Snaps app to the right (split screen multitasking)
Windows Key + Shift + .Snaps app to the left (split screen multitasking)
Windows Key + ,Temporarily view desktop
Alt + F4Quit Modern UI Apps
Windows Key + ELaunch Windows Explorer Window
Windows Key + LLock PC and go to lock screen
Windows Key + TCycle through icons on taskbar (press Enter to launch app)
Windows Key + XShow Advanced Windows Settings Menu
Windows Key + ELaunch Windows Explorer Window
Windows Key + Page DownMoves Start screen and apps to secondary monitor on the right
Windows Key + MMinimize all Windows
Windows Key + Shift + MRestore all minimized Windows
Windows Key + ROpen Run dialog box
Windows Key + Up ArrowMaximize current window
Windows Key + Down ArrowMinimize current window
Windows Key + Left ArrowMaximize current window to left side of the screen
Windows Key + Right ArrowMaximize current window to right side of the screen
Ctrl + Shift + EscapeOpen Task Manager
Windows Key + Print ScreenTakes a Print Screen and saves it to your Pictures folder
Windows Key + Page UpMoves Start screen and apps to secondary monitor on the left
Windows Key + Pause BreakDisplay System Properties
Shift + DeletePermanently delete files without sending it to Recycle Bin
Windows Key + F1Open Windows Help and Support
Windows Key + VCycle through notifications
Windows Key + Shift + VCycle through notifications in reverse order
Windows Key + 0 to 9Launch/show app pinned to taskbar at indicated number
Windows Key + Shift + 0 to 9Launch new instance of app pinned to taskbar at indicated number
Alt + EnterDisplay Properties of selected item in File Explorer
Alt + Up ArrowView upper level folder of current folder in File Explorer
Alt + Right ArrowView next folder in File Explorer
Alt + Left ArrowView previous folder in File Explorer
Windows Key + PChoose secondary display modes
Windows Key + UOpen Ease of Access Center
Alt + Print ScreenPrint Screen focused Window only
Windows Key + SpacebarSwitch input language and keyboard layout
Windows Key + Shift + SpacebarSwitch to previous input language and keyboard layout
Windows Key + EnterOpen Narrator
Windows Key + +Zoom in using Magnifier
Windows Key + Zoom out using Magnifier
Windows Key + EscapeExit Magnifier

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

นักวิจัย MIT เสนอแนวทางออกแบบคลัสเตอร์, ไม่ต้องเน้นแรม เน้นหน่วยความจำแฟลช

ทีมวิจัยจาก MIT เสนอสถาปัตยกรรม BlueDBM สำหรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ด้วยแนวคิดว่าไม่ต้องเน้นการเพิ่มแรมเข้าไป มากๆ เหมือนแต่ก่อน
กรณีของข้อมูลสำหรับ BlueDBM เช่นการประมวลผลข้อมูลทวิตเตอร์ขนาด 5TB ถึง 20TB ที่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์นับร้อยตัว แต่ละตัวติดตั้งแรมจำนวนมากเพื่อให้ข้อมูลทั้งหมดอยู่บนแรม ข้อเสนอของ BlueDBM เสนอให้ไปเน้นหน่วยความจำแบบแฟลชที่ประสิทธิภาพสูงแต่ยังมีราคาถูกและ ประหยัดไฟแทน
BlueDBM พัฒนาการ์ดหน่วยความจำแฟลชเฉพาะทาง เชื่อมต่อกับเครื่องเซิร์ฟเวอร์หลักด้วย PCIe บนตัวการ์ดเองสามารถเชื่อมต่อกับการ์ดบนเครื่องอื่นๆ ได้โดยตรงผ่านสาย SATA จุดพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือแต่ละการ์ดจะเป็น FPGA ทำให้สามารถส่งงานง่ายๆ ไปประมวลผลบนตัวการ์ดได้โดยตรง ตัวอย่างเช่น การค้นหาข้อความในไฟล์ขนาดใหญ่จะเสียเวลาจำนวนมากไปกับการทำ I/O ส่งข้อมูลเข้ามายังซีพียู ส่วนซีพียูทำงานจริงเพียง 13% สำหรับการค้นหาบนฮาร์ดดิสก์ และ 65% บน SSD แต่สำหรับ BlueDBM งานเกือบทั้งหมดจะถูกย้ายไปอยู่บน FPGA ที่ควบคุมหน่วยความจำแฟลชแทนทำให้ซีพียูหลักแทบไม่ต้องทำงานเลย
ทีมงานเสนอสถาปัตยกรรมนี้โดยยกตัวอย่างการใช้งานสามประเภท ได้แก่ การหาข้อมูลใกล้เคียง (nearest neighbor search), การเดินทางในกราฟ (graph traversal), และการค้นหาข้อความ (string search) ซึ่งเป็นงานที่พบได้บ่อยๆ ในงานประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่
งานวิจัย "BlueDBM: An Appliance for Big Data Analytics" ตีพิมพ์ในการประชุมวิชาการ International Symposium on Computer Architecture 2015
ที่มา - MIT
upic.me

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Installing Driver Arduino on Window

วิธีการ Install Driver Arduino ลงบน Window
   สำหรับผู้ที่ซื้อ Board Arduino คงจะพบกับปัญหาที่จะพูดถึงในบทความนี้ครับ   วันนี้จะแนะนำวิธีการลง Software และ Driver Arduino บนWindows แบบละเอียดๆ
ถ้าพร้อมแล้ว ก่อนทำการ installing Driver ของ Arduinoทุกชนิด ต้อง Disable อุปกรณ์ Bluetooth เพราะ ว่า Arduino และ อุปกรณ์ Bluetooth นั้นไม่ Compatibleกัน เพราะฉนั้น ต้องปิดอุปกรณ์ Bluetoothก่อนการInstall เสมอ
บทความนี้ จะแนะนำเกี่ยวกับการ install drivers ลงบน Arduino Boards ทุกชนิด บน ระบบปฏิบัติการ Windows และ การ Loading a sketch สำหรับทำการทดสอบว่าการ Install นั้นถูกต้องหรือไม่  โดยทั้งหมดจะสาธิตบนบอร์ด Arduino UNO R3 คู่กับ Window 7 
 Download and Install the Arduino Software

1. Download

ให้ไปที่ http://arduino.cc/en/Main/Software
และ กด  click ที่ download เพื่อเข้าสู่ the download page.

ที่หน้า download,  ให้ Click ไปที่ Windows link เพื่อที่จะ download Arduino software สำหรับระบบปฏิบัติการWindows ตามรูปข้างล่าง

2. Install

 หลังจาก downloadแล้ว ให้เลือกที่อยู่ของ  downloaded file บนระบบ system และ ทำการ extract the folder จาก  zipped file วางลงบนตำแหน่งที่เหมาะสม
 Install the Arduino Windows Drivers
 1. ทำการPlug the Arduino Board ลงบนเครื่อง PC
ทำการ Plug the Arduino board ลงบนเครื่อง PC. Windows จะพยายาม install drivers แต่สุดท้ายก็จะไม่สำเร็จ

2. Start the Windows Device Manager

ให้ Click ไปที่ปุ่ม Start menu
 คลิกขวาที่ My Computer บน Start menu แล้วก็ click Properties or Manageจาก pop-up menu เพื่อทำการเปิด Device Manager
 Click ไปที่ Device Manager link เพื่อ Start device manager:
Device Manager จะเปิด และแสดง Arduino Device ที่เราทำการ Connect ไว้(ขึ้นอยู่กับว่าใช้  board ชนิดไหน ชื่อก็จะแสดงขึ้นมาให้เห็น


 ทีนี้เราจะเจอ เครื่องหมายตกใจ ขึ้นสีเหลืองๆ ซึ่งแสดงว่า อุปกรณ์ Arduino นั้น ไม่สามารถทำการ Install มาถึงขั้นนี้ก็ต้อง

3. Installing the Device Driver

ในหน้าต่างของ Device Manager, ให้คลิกขวา ไปที่ Arduino board แล้วก็ clickUpdate Driver Software, บน pop-up menu
ณ ขณะนี้ จะมีกล่องขึน pop-up มาโชว์ว่า Update Driver Software  ให้คลิกที่Browse my computer for driver software เพื่อที่จะ install Driver Software Manually
ต่อไปก็click the Browse... button
เลือกไปที่ drivers folder ใน Arduino folder  ที่ได้ download มา
หลังจากเลือกไปที่ driver folder เรียบร้อยแล้ว ให้  click  Next
 จะมี กล่อง pops up ขื้นมา, click Install this driver software anyway, to continue the Arduino Board Drivers....
 
เมื่อทำการ Install Driveเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะมี  dialog box ตามรูปข้างล่าง
เราต้องทราบ  port number ที่ บอร์ด Arduino เราทำการเชื่อมต่ออยู่ในตัวอย่างนี้คือPort  COM3 แต่บอร์ดที่ใช้งานจริงของคุณ อาจจะมาเป็น Port COM อื่นๆ ก็อย่าได้ตกใจครับ
 ถ้าคุณเห็นข้อความนี้แสดงว่าคุณได้ทำการ Install Driver เป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ก็ทำการ "Close" ได้เลย

4. ทำการ Set up Arduino Software หลังจาก Installation แล้ว:

การ set นี้ ทำแค่ครั้งเดียวเป็นอันเสร็จพิธี นอกเสียจากคุณจะต้องการเปลี่ยน รุ่นของ Board หรือ  เปลี่ยน port ที่ทำการเชื่อมต่อกับ Boardเท่านั้น.  เพียงแค่ เลือกไปที่  folder  ที่คุณได้เก็บ Arduino IDE ไว้ และทำการ startSoftware ของ Arduino IDE โดยทำการ double-clickingไปที่ Arduino application. 
Double Click ที่  "Arduino.exe" เพื่อ Start Arduino IDE
จากนั้นเลือกรุ่นของ Arduino board ที่ทำการเชื่อมต่อให้ถูกต้องจากใน  list ทำการเปลี่ยน ถ้าจำเป็น.....
ทีนี้ก็ทำการ check ว่า serial port ที่ต่ออยู่ได้ถูกเลือกอย่างถูกต้อง  เลือกไปที่ Computer Serial Port ที่ Arduino ทำการต่อเชื่อมอยู่
  
เรียบเรียงและแปลโดย : Lemon Tea
Credited by :


ขอบคุณเว็บ : http://www.arduitronics.com/article/installing-driver-arduino-on-window

รู้จักกับ HTML5 - ภาคหนึ่ง HTML5 คืออะไร?

บทความชุดนี้จะแนะนำข้อมูลเบื้องต้น (ย้ำว่า "เบื้องต้น") ของเทคโนโลยีใหม่ที่ทุกคนจับตาอย่าง HTML5 เพื่อเตรียมความพร้อมและปูพื้นฐานของ HTML5 ให้กับนักพัฒนาเว็บในประเทศไทย
ภาคแรกของบทความนี้จะกล่าวถึงข้อมูลของ HTML5 ในภาพรวม ว่ามันคืออะไร มันทำอะไรได้บ้าง ก่อนจะเข้าสู่รายละเอียดของเทคโนโลยีบางตัวที่สำคัญในภาคต่อๆ ไป

อะไรคือ HTML5

ผู้อ่าน Blognone คงได้ยินชื่อ HTML5 กันมาเยอะ แต่ว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่?
ความหมายทั่วไปของคำว่า HTML5 มีสองนัยยะที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ครับ
ความหมายในมุมแคบ มันคือ สเปกของภาษา HTML รุ่นที่ 5 ซึ่งต่อจาก HTML4 ที่เราใช้กันทุกวันนี้ โดยปัจจุบันสเปกยังร่างไม่เสร็จ (ดูได้จากเอกสารของ W3C) เนื้อหาจะครอบคลุมลักษณะ ฟีเจอร์ และ syntax ของ HTML เท่านั้น
ความหมายในมุมที่กว้างขึ้น มันคือ ชุดของเทคโนโลยีเว็บสมัยใหม่ อันประกอบไปด้วย
  • ภาษา HTML5 ตามข้อแรก
  • CSS3
  • API อีกชุดหนึ่งที่อยู่นอกสเปก HTML5 แต่ออกแบบมาให้ใช้งานร่วมกัน เช่น Geolocation, IndexedDB, File API ที่กำลังเป็นร่างมาตรฐานของ W3C แยกมาอีกชุดหนึ่ง
  • เทคโนโลยีประกอบอื่นๆ ที่เป็นมาตรฐานของ W3C อยู่แล้ว และนำมาใช้ร่วมกับ HTML (ซึ่งจะเป็น HTML4 หรือ HTML5 ก็ได้) เช่น SVG หรือ MathML
HTML5 ในที่นี้เราจะหมายถึงความหมายอย่างที่สอง ก็คือเทคโนโลยีเว็บรุ่นใหม่แบบรวมๆ นะครับ

ทำไมต้องมี HTML5

จะว่าไปแล้ว เทคโนโลยีใน HTML5 แทบไม่มีอะไรใหม่ในโลกไอทีเลย เพราะเกือบทุกอย่างที่ HTML5 ทำได้ อยู่ในกระบวนการพัฒนาโปรแกรมแบบ native มาช้านานแล้ว เช่น การทำงานแบบออฟไลน์ หรือ การวาดกราฟิก
เพียงแต่ HTML5 นำเทคโนโลยีที่เคยอยู่ในโลก native ย้ายเข้ามาสู่โลกของเว็บ ทำให้มันมีข้อดีของทั้งสองโลก คือ ฟีเจอร์อันรุ่มรวยและประสิทธิภาพในการทำงานจากโลก native มาผสานกับความคล่องตัว เข้าถึงได้จากทุกที่ของเว็บ
เดิมที ภาษาตระกูล HTML/SGML เป็นภาษาที่ออกแบบมาเพื่อ "อธิบาย" หรือ "นิยาม" การแสดงผลข้อมูล เช่น ตัวหนา ตัวเอียง หัวเรื่อง ลิงก์ ซึ่งการใช้งานก็คือเอาไว้ทำเอกสารที่เชื่อมโยงกัน (ตัวอย่างคือ Help ของวินโดวส์)
พอมีอินเทอร์เน็ต HTML ก็ทำหน้าที่สร้าง "โบรชัวร์อิเล็กทรอนิกส์" ที่สามารถดูได้จากระยะไกล ถึงแม้ตอนแรกจะมีแต่ข้อความ แต่ระยะต่อๆ มาเทคโนโลยีเว็บก็พัฒนามากขึ้น สามารถใส่ภาพ เสียง วิดีโอ (ผ่านปลั๊กอิน) มีแนวคิดเชิงโปรแกรมอย่างจาวาสคริปต์เข้ามา (จริงๆ มี VBScript ด้วยแต่ดังสู้ไม่ได้) ในยุคของ HTML3
พอเป็นยุคของ HTML4 เราเริ่มเห็นเว็บแบบที่ตอบโต้ได้ มีความเป็นอินเตอร์แอคทีฟมากขึ้น ซึ่งเกิดจากเทคโนโลยีอย่าง AJAX, XMLHttpRequest ทำให้เว็บมีความใกล้เคียงกับ "แอพ" แบบดั้งเดิมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มันยังสู้แอพแบบ native ไม่ได้ เพราะยังขาดฟีเจอร์สำคัญๆ อีกหลายอย่าง เช่น การทำงานออฟไลน์ กราฟิกสามมิติ ฯลฯ นั่นเอง
สุดท้ายแล้ว HTML5 จะช่วยให้เรานำเทคโนโลยีจากโลกของเว็บ มาสร้างแอพที่มีลักษณะใกล้เคียงกับแอพแบบ native (ไม่ว่าจะบนพีซีหรือมือถือได้) ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือ PhoneGap ซึ่งเป็นเครื่องมือพัฒนาแอพมือถือด้วย HTML5

HTML5 มีความสามารถอะไรบ้าง

เกริ่นกันมานานก็เริ่มเข้าเรื่องกันสักทีนะครับ ส่วนประกอบของ HTML5 มีหลายอย่างมาก เราอาจไม่จำเป็นต้องใช้ทุกฟีเจอร์
ส่วนการอธิบายส่วนประกอบของ HTML5 ก็ขึ้นกับว่าเราจะจัดหมวดหมู่มันอย่างไร มีหลายตำราให้เลือก ในบทความนี้ผมขอเลือกตาม W3C ที่อุตส่าห์ออกแบบโลโก้-ไอคอนของ HTML5 เพื่อแสดงสัญลักษณ์ของเทคโนโลยีเว็บแขนงต่างๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายและแยกหมวดหมู่ตามกัน
W3C แบ่งเทคโนโลยีในชุด HTML5 ออกเป็น 8 หมวด พร้อมไอคอนประกอบทุกหมวด ขอใช้ชื่อตามนั้น และเรียงลำดับกันไปเช่นเดียวกับเว็บ W3C HTML5 Logo

1. Semantics

HTML5 Semantic
เทคโนโลยีกลุ่ม Semantics คือตัว syntax ของภาษา HTML5 ที่แน่นอนว่าเปลี่ยนไปจาก HTML4 ซึ่งมีแท็กใหม่ๆ และคุณสมบัติ (atrribute) ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกพอสมควร
โดยโครงสร้างของภาษาแล้ว HTML5 ยังเหมือนกับ HTML ที่เราคุ้นเคย แต่เพิ่มแท็กใหม่ ตัดแท็กเก่า และเปลี่ยนวิธีใช้แท็กเก่าบางตัวออกไป รายละเอียดอ่านได้จาก HTML5 differences from HTML4 ของ W3C
ยกมาเป็นตัวอย่างพอให้เห็นภาพ
แท็กใหม่
แท็กกลุ่มนี้จะช่วยบ่งบอกความหมายของวัตถุในเว็บเพจได้ดีขึ้น เช่น จากเดิมเราใช้
ตัวอย่าง
  • section - บ่งบอกเซคชันของเนื้อหา
  • article - กำหนดขอบเขตของตัวเนื้อบทความ
  • aside - กำหนดขอบเขตของเนื้อหาเสริม (ล้อมกรอบ)
  • header - กำหนดขอบเขตของส่วนเริ่มต้นหรือส่วนหัวของเว็บไซต์ (อย่าสับสนกับ )
  • footer - กำหนดขอบเขตของส่วนท้ายของเว็บไซต์ พวกข้อความกำหนดสิทธิ์ต่างๆ
  • nav - บอกว่ามันเป็นส่วนนำทางของเว็บไซต์
  • figure - บอกว่าเป็นภาพหรือวิดีโอประกอบเนื้อหา (ข้างในสามารถซ้อนแท็ก img หรือ video พร้อมคำอธิบายได้อีกชั้น)
นอกจากนี้ส่วนของฟิลด์ยังมี attribute ใหม่อีกกลุ่มสำหรับ input type ที่เจาะจงกว่าเดิม เช่น จากเดิมเราใช้ ก็เปลี่ยนเป็น แทน
  • tel - เบอร์โทร
  • search - ช่องค้นหา
  • url
  • email
  • datetime
  • date
  • time
  • color
แท็กที่ถูกตัดออก
ส่วนใหญ่เป็นแท็กเก่าที่ทำหน้าที่กำหนดฟอร์แมตการแสดงผล ซึ่งย้ายไปใช้ CSS แทนหมดแล้ว นอกจากนี้ยังเอาแท็กที่เกี่ยวกับเฟรมทั้งหมดออกไป เพราะล้าสมัยแล้ว และแท็กที่ไม่ค่อยมีคนใช้อย่าง acronym (ใช้ abbr แทน) หรือ applet (ใช้ object แทน)
  • big
  • center
  • font
  • strike
  • frame
  • frameset
  • noframes
  • acronym
  • object
แท็กที่ถูกเปลี่ยนวิธีใช้
แท็กเก่าแต่เปลี่ยนความหมาย-วิธีใช้งาน
  • i - ไม่ได้หมายถึงการทำตัวเอียง (เพราะอยู่ใน CSS) แต่หมายถึงโทนเสียงของตัวข้อความที่เปลี่ยนแปลง
  • small - หมายถึงข้อความหรือคอมเมนต์ประกอบเนื้อหาหลัก ที่ควรจะแสดงด้วยตัวเล็กกว่าปกติ
  • strong - หมายถึงข้อความสำคัญ ไม่ใช่การเน้นด้วยตัวเข้ม
  • u - เป็นการบ่งชี้ว่าข้อความจุดนี้มีการแสดงผลแบบพิเศษ เช่น จงใจเขียนให้ผิดเพื่อเป็นตัวอย่าง หรือ ชื่อในภาษาจีน เป็นต้น
นอกจากแท็กหลักที่เปลี่ยนแปลงแล้ว เทคโนโลยีในหมวดนี้ยังรวมไปถึงเทคโนโลยีเว็บหลายๆ ชนิดที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน เช่น RDFa, Microdata, Microformats ที่ช่วยกำหนดความหมายให้กับเนื้อหา เพื่อนำไปประมวลผลต่อได้ง่ายขึ้นครับ
จะเห็นว่าในภาพรวมแล้ว HTML5 หมวด semantics จะช่วยให้ตัวโครงสร้างของเว็บเพจมีความหมาย (ในเชิงของ semantic web) มากขึ้น
รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จาก HTML5 Semantics - Smashing Magazine

2. Offline & Storage

HTML5 Offline & Storage
เทคโนโลยีในหมวดนี้ก็ตรงตามชื่อหมวด นั่นคือช่วยให้เว็บสามารถทำงานแบบออฟไลน์ได้ และเก็บข้อมูลไว้ใช้งานบนเครื่องของผู้ชมเว็บได้
ผมเคยเขียนเนื้อหาในหมวดนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งในบทความ รู้จักกับวิธีการเก็บข้อมูล Local Storage ของ HTML5 ก็ขอเอามารียูสเพราะเนื้อหาเหมือนกันทุกประการ
Web Storage
เทคโนโลยีแรกคือ Web Storage ซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลแบบง่ายๆ ในรูป key-value (ภาษาโปรแกรมบางภาษาเรียก dictionary) ซึ่งแยกย่อยได้อีก 2 อย่าง คือ
  • Session storage เก็บข้อมูลเฉพาะเซสชันการท่องเว็บนั้นๆ ปิดแท็บเมื่อไรข้อมูลก็หายไป ใช้ออบเจคต์ชนิด sessionStorage อันนี้ไม่ซับซ้อน
  • Local storage เก็บข้อมูลระยะยาว (persistence) โดยใช้ออบเจคต์ชื่อ localStorage ซึ่งจะซับซ้อนขึ้น เพราะเราสามารถเปิดเว็บเพจเดียวกันใน 2 แท็บหรือมากกว่า ซึ่งมันจะแชร์ข้อมูลก้อนเดียวกัน
ฟีเจอร์ Web Storage จะคล้ายกับ Google Gears เมื่อ 3-4 ปีก่อนหน้านี้ เพียงแต่ Web Storage รวมมากับ HTML5 เลย ไม่ต้องลงปลั๊กอินเพิ่มเองแบบ Gears
ฐานข้อมูล
การเก็บข้อมูลง่ายๆ แบบ key-value อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักพัฒนา HTML5 จึงเพิ่มวิธีการเก็บข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้นมา ซึ่งก็คือฐานข้อมูลแบบที่เราคุ้นเคยนั่นเอง
ปัญหาของฐานข้อมูลใน HTML5 ก็คือมาตรฐานที่แยกเป็นสองทาง
  • Web SQL Database มันคือการนำ SQL มายัดใส่เบราว์เซอร์ (ส่วนมากนิยม SQLite) ตอนนี้ใช้ได้แค่เบราว์เซอร์ตระกูล WebKit และ Opera แนวทางนี้มีข้อเสียตรงความซับซ้อนของ SQL และเริ่มหมดความนิยมแล้ว (ทั้งที่มาตรฐานยังไม่เสร็จ)
  • IndexedDB แนวทางใหม่ที่สร้างขึ้นในภายหลัง ไม่ใช้ SQL แต่เก็บข้อมูลแบบ key-value เหมือนกับ Web Storage เพียงแต่เพิ่มการทำดัชนี (index) ช่วยให้หาข้อมูลได้รวดเร็วขึ้น และเพิ่มเรื่อง transactions เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลมาด้วย
Blognone เคยลงเรื่อง Web SQL vs IndexedDB ไปครั้งหนึ่งแล้ว ย้อนอ่านรายละเอียดได้ในตอนเก่าครับ
File API
เราพูดถึงการเก็บข้อมูลแบบง่ายๆ และการเก็บลงฐานข้อมูลไปแล้ว ลำดับถัดไปคือการจัดการกับ "ไฟล์" นั่นเอง HTML5 มี API มาให้เราสองตัวคือ FileReader กับ FileWriter หน้าที่ก็ตามชื่อครับ
ปัญหาของ FileReader ที่จะต้องสนใจคือความแตกต่างระหว่างไฟล์ที่อยู่ในเครื่อง กับไฟล์ที่อยู่บนเว็บ ซึ่งกำลังพัฒนากันอยู่
ส่วน FileWriter มีข้อกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะต่อจากนี้ไปเว็บเพจจะสามารถเขียนไฟล์ในเครื่องเราได้ มาตรการแก้ไขจุดอ่อนนี้ก็ต้องพัฒนากันต่อไป
แคชสำหรับเวลาออฟไลน์ (App Cache)
เมื่อเว็บแอพพลิเคชันไม่ได้ต่อเน็ต ก็ต้องมีวิธีจัดการกับข้อมูลที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของ AppCaching API ที่บอกว่าเว็บแอพพลิเคชันจะถูกเก็บไว้บนเครื่องนานแค่ไหน ทำให้เว็บแอพมีลักษณะคล้ายๆ กับแอพที่ติดตั้งแบบปกติมากขึ้น

3. Device Access

HTML5 Device Access
เทคโนโลยีหมวดที่สามจะเน้นความเชื่อมโยงกับฟีเจอร์ของฮาร์ดแวร์ (โดยเฉพาะฮาร์ดแวร์แบบพกพา) เช่น
  • Geolocation API เพื่อขอข้อมูลเชิงพิกัดของอุปกรณ์
  • เข้าถึงไมโครโฟนและกล้องถ่ายภาพของอุปกรณ์
  • เข้าถึงข้อมูลภายในตัวอุปกรณ์ เช่น สมุดที่อยู่ หรือข้อมูลการเอียงเครื่อง (tilt orientation)
ฟีเจอร์ในกลุ่มนี้จะไม่ได้อยู่ในรูปของแท็ก HTML โดยตรง แต่จะเป็น API ที่ฝั่งเบราว์เซอร์ต้องเตรียมไว้ให้ แล้วเว็บเพจค่อยเรียกใช้ผ่านจาวาสคริปต์อีกทีหนึ่ง
ในการใช้งานจริงๆ เราคงใช้ผ่านเฟรมเวิร์คจาวาสคริปต์ที่เตรียมเรื่องพวกนี้ไว้ให้แล้วมากกว่า เช่น jQuery Mobile, Sencha Touch หรือ SproutCore เป็นต้น

4. Connectivity

HTML5 Connectivity
เทคโนโลยีกลุ่มที่สี่เน้นการเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ดีขึ้น มี 2 อย่างที่สำคัญ
WebSockets
WebSockets เป็น API ที่ออกมาเพื่อต่อยอดแนวทางของ AJAX ในอดีต อธิบายง่ายๆ มันคือการ push ข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์มายังไคลเอนต์ (แบบเดียวกับ push mail ที่เรารู้จักกัน)
ในแง่เทคนิค การส่งข้อมูลแบบ HTTP แบบดั้งเดิมจะเปิดการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์เพื่อส่งข้อมูล แล้วตัดการเชื่อมต่อเมื่อใช้เสร็จ ดังนั้นการขอข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์เป็นระยะจึงทำได้ยาก เพราะต้องดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ (polling) เป็นระยะ ซึ่งเปลืองโหลดของเซิร์ฟเวอร์ไม่น้อย โดยเฉพาะกรณีที่ต้องเปิดการเชื่อมต่อ HTTP ค้างเอาไว้ (Long polling หรือ COMET)
WebSockets เกิดมาเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยสร้างการเชื่อมต่อแบบ (เกือบ) ถาวรระหว่างเซิร์ฟเวอร์กับไคลเอนต์ เพื่อให้สองฝั่งส่งข้อมูลกันได้ตลอด ทั้งหมดรันอยู่บนโพรโตคอล TCP อีกชั้นหนึ่ง และไม่ได้วิ่งบนโพรโตคอล HTTP เพื่อประหยัดโหลดของ HTTP ครับ
ในการใช้งานเราจะเรียก WebSockets ด้วย
ws://
หรือถ้าต้องการการเชื่อมต่อแบบปลอดภัย
wss://
ข้อดีคือเบากว่า HTTP แต่ข้อเสียคือทั้งสองฝั่ง (โดยเฉพาะเซิร์ฟเวอร์) ต้องรองรับ WebSockets ด้วย จึงอาจจะใช้ไม่ได้ในทุกกรณี
ปัจจุบัน WebSockets เป็นมาตรฐานที่รับรองโดย IETF และกำลังผ่านกระบวนการเข้าเป็นมาตรฐานของ W3C
ข้อมูลเพิ่มเติม: WikipediaW3Cสอนการใช้งานที่ HTML5 Rocks
Server-sent Events (SSE)
WebSockets เป็นการส่งข้อมูลแบบสองทาง แต่ถ้าเราต้องการส่งข้อมูลทางเดียวจากเซิร์ฟเวอร์มายังไคลเอนต์ (เช่น notification ของ Facebook/Twitter) เราสามารถใช้เทคโนโลยีอีกตัวชื่อ Server-sent Events (SSE) แทนได้
SSE ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา polling ของ AJAX เช่นเดียวกับ WebSockets หลักการทำงานของ SSE คือเซิร์ฟเวอร์สามารถส่งข้อมูลไปยังไคลเอนต์ได้โดยตรง โดยที่ไคลเอนต์ไม่ต้องร้องขอ (GET Request) ก่อน
ความต่างของ SSE กับ WebSockets นอกจากจะเป็นเรื่องการส่งข้อมูลแบบทางเดียว/สองทางแล้ว ยังต่างกันที่ตัวโพรโตคอล เพราะ SSE จะรันอยู่บน HTTP ตามปกติ ทำให้สามารถใช้กับเซิร์ฟเวอร์ในปัจจุบันได้ทันที
ในการใช้งานจริง เราอาจเลือกได้ระหว่าง
  • การส่งข้อมูลด้วย WebSockets ทั้งสองทาง (บน WebSockets)
  • การรับข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ด้วย SSE แล้วส่งกลับด้วย XMLHttpRequest (บน HTTP)
ข้อมูลเพิ่มเติม: WikipediaW3Cสอนการใช้งานที่ HTML5 Rocks

5. Multimedia

HTML5 Multimedia
เรื่องนี้เราพูดกันมาเยอะมาก และเริ่มใช้งานจริงกันแล้ว คงไม่ต้องลงลึกในบทความตอนนี้
อธิบายแบบสั้นๆ คือเดิมที่ HTML4 ขึ้นไปไม่สามารถแสดงผลเสียง-วิดีโอได้โดยตรง ต้องใช้วิธีฝัง แล้วติดตั้งปลั๊กอินเพื่อช่วยเล่นมัลติมีเดีย ซึ่งทำงานได้ตามนั้นแต่ก็มีปัญหายิบย่อยมากมายตามมาเช่นกัน
แต่พอเป็น HTML5 ได้กำหนดให้ HTML ต้องเล่นไฟล์เสียงและวิดีโอได้ในตัว จึงเป็นที่มาของแท็กใหม่
อย่างไรก็ตาม เรื่องมัลติมีเดียของ HTML5 กลับมีปัญหาประการใหม่เพิ่มเข้ามา นั่นคือ "สงคราม codec" ระหว่างเบราว์เซอร์สองค่ายใหญ่ ดังที่เราเห็นจากข่าว WebM+Ogg (สนับสนุนโดย Chrome/Firefox/Opera) vs H.264 (สนับสนุนโดย IE/Safari) นั่นเอง
(ดูข่าวหมวด codec ประกอบ)

6. 3D, Graphics & Effects

HTML5 - 3D, Graphics & Effects
หมวดที่หกเกี่ยวกับเรื่องกราฟิก แบ่งเป็น 4 ประการย่อยๆ
SVG (Scalable Vector Graphics)
เป็นภาษาตระกูล XML ที่ออกแบบมาสำหรับการวาดกราฟิกแบบเวกเตอร์ (พอเทียบเคียงได้กับ SWF ของ Adobe หรือ XAML ของไมโครซอฟท์) เทคโนโลยีนี้มีมานานพอสมควรแล้ว คงไม่ต้องลงรายละเอียดนะครับ
Canvas
แท็ก ถือเป็นของใหม่ที่สำคัญใน HTML5 เพราะมันช่วยเปลี่ยนลูกเล่นการแสดงผลของเว็บเพจไปอีกมาก
เดิมที HTML เป็นการวาดออบเจคต์ (เช่น ข้อความ รูป กล่องข้อความ ฯลฯ) ขึ้นมาเป็นหน้าจอ และสามารถตกแต่งออบเจคต์แต่ละตัวได้ในระดับหนึ่งผ่าน CSS (เช่น ใส่สีพื้น วาดเส้นขอบ ทำมุมโค้ง) แต่ในภาพรวม HTML ยังไม่สามารถแสดงกราฟิกแบบราสเตอร์ (raster) ได้ด้วยตัวมันเอง ต้องทำภาพมาแปะอีกทอดหนึ่ง
แท็ก canvas ที่ถูกเพิ่มเข้ามาช่วยให้เราสามารถ "วาดภาพ" ลงบนเว็บเพจได้โดยตรง (กำหนด canvas ในเพจ แต่สั่งวาดด้วยจาวาสคริปต์นะครับ) โดยขอบเขตของภาพที่วาดก็จะอยู่ในออบเจคต์ชื่อ canvas นั่นเอง
สิ่งที่เราสามารถใส่ลงไปในกรอบ canvas ได้แก่
  • รูปทรงพื้นฐาน สี่เหลี่ยม วงกลม เส้นตรง เส้นโค้ง พาธ (รูปทรงมีไม่เยอะเท่ากับ SVG)
  • ไฟล์รูปภาพ จะซ้อนกันกี่ชั้นก็ได้ตามสะดวก
  • แอนิเมชัน กำหนดให้วัตถุต่างๆ เคลื่อนไหว
  • แปลงสภาพวัตถุ (transformation) จะกำหนดให้หมุน เอียง บิดเบี้ยว ได้เหมือนกัน
  • ประกอบ-ซ้อนภาพวัตถุ (composition) เช่น นำสี่เหลี่ยมกับสามเหลี่ยมมา intersect เพื่อสร้างวัตถุแบบใหม่
ความต่างที่สำคัญของ SVG กับ canvas คือ
  • SVG ได้ผลลัพธ์เป็นเวกเตอร์ ส่วน canvas ได้ผลลัพธ์เป็นราสเตอร์ (ภายในกรอบวัตถุ canvas)
  • SVG สั่งวาดด้วยแท็กแบบ markup (ซับเซ็ตของ XML) ส่วน canvas สั่งวาดด้วยจาวาสคริปต์
รายละเอียดดูได้จาก WikipediaCanvas tutorial - Mozilla Developer NetworkW3Schools HTML5 Canvas
WebGL
โดยทั่วไปแล้ว การวาดภาพ-แสดงผลใน canvas เรามักใช้กับภาพ 2 มิติเป็นหลัก แต่ถ้าต้องการวาดภาพ 3 มิติ เราจะใช้ส่วนขยายของ canvas ที่เรียกว่า WebGL (Web-based Graphics Library)
WebGL เป็นไลบรารีกราฟิกที่พัฒนาอยู่บน OpenGL ES 2.0 ซึ่งเป็นไลบรารีกราฟิก 3 มิติมาตรฐานของวงการไอที แต่ดัดแปลงให้เรนเดอร์ภาพออกมาบนออบเจคต์ canvas ภายในเบราว์เซอร์ และสั่งงานได้ผ่านจาวาสคริปต์ ตอนเรนเดอร์ก็ทำผ่าน GPU ตามปกติ (ดูข่าวเก่าหมวด WebGL ประกอบ)
ขั้นตอนการวาดภาพ 3 มิติบน WebGL แทบไม่ต่างอะไรกับ canvas ปกติ เพราะเราต้องกำหนดบริเวณที่เป็น canvas ในเว็บเพจขึ้นมาก่อน เพียงแต่ตอนวาดในจาวาสคริปต์ เราจะสร้างออบเจคต์ชนิด WebGL ขึ้นมาแทน canvas ปกติ
ส่วนหลักการวาดวัตถุ 3 มิติคงไม่ต่างอะไรกับ OpenGL ครับ ใครเคยเขียนโปรแกรมกับ OpenGL คงใช้ WebGL ได้แทบจะทันที
สถานะตอนนี้ของ WebGL คือเบราว์เซอร์ทุกค่ายสนับสนุนแล้ว ยังเหลือฝั่งไมโครซอฟท์ที่ยังไม่ยอมสนับสนุน (เหตุผลหนึ่งเพราะอยู่บน OpenGL ไม่ใช่ DirectX)
ข้อมูลเพิ่มเติม Getting started with WebGL - Mozilla Developer Network
CSS3 3D
CSS3 นั้นต่างไปจาก CSS2 มาก เพราะมันไม่ใช่มาตรฐานเดี่ยวๆ แต่ประกอบด้วยมาตรฐานย่อยๆ จำนวน "หลายสิบ" ชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ CSS3 3D Transforms ที่สามารถแปลงสภาพวัตถุบนเว็บเพจในแบบต่างๆ เช่น ขยายขนาด หมุนเอียงตามแกน xyz
ดูตัวอย่างได้ที่ WebKit (ต้องใช้ WebKit เข้าด้วยนะครับ) หรือ The Web Rocks (Gecko/WebKit)

7. Performance & Integration

HTML5 - Performance & Integration
หมวดที่เจ็ดเป็นการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของเว็บแอพ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
Web Worker
อธิบายง่ายๆ Web Worker คือจาวาสคริปต์ที่ทำงานแบบมัลติเธร็ด เพื่อให้สคริปต์สามารถทำงานเบื้องหลังได้หลายๆ งานพร้อมกัน
การใช้งานเราสามารถสั่งได้ที่ตัวโค้ดจาวาสคริปต์โดยตรง โดยสร้างตัวแปรชนิด worker ขึ้นมาบอกเบราว์เซอร์ว่า โค้ดจาวาสคริปต์ส่วนนี้ ขอให้ทำงานแบบ Web Worker เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
รายละเอียดอ่านเพิ่มที่ WikipediaW3CMozillaHTML5 Rocks
XMLHttpRequest Level 2
ผมถือว่าผู้อ่าน Blognone คงรู้จัก XMLHttpRequest (XHR) ที่เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานของ AJAX กันพอสมควรแล้ว อธิบายสั้นๆ สำหรับคนไม่รู้ XHR เป็นวิธีการโหลดข้อมูลเฉพาะบางส่วนของเว็บเพจ (ไม่ใช่ทั้งหน้า) ช่วยให้เราสามารถปรับปรุงข้อมูลบางส่วนของเพจได้ โดยไม่ต้องโหลดใหม่ทั้งหน้า ผลคือเว็บเพจที่อินเตอร์แอคทีฟมากขึ้นนั่นเอง
XMLHttpRequest Level 2 เป็นความพยายามของ W3C ที่จะพัฒนา XMLHttpRequest รุ่นแรกให้มีประสิทธิภาพ-ความสามารถมากขึ้น แบ่งได้ง่ายๆ 3 อย่าง ได้แก่
  • การแยกแยะเหตุการณ์ (event) แต่ละชนิดออกจากกัน ช่วยให้โปรแกรมเมอร์ติดตามและควบคุมการส่งข้อมูลได้ง่ายขึ้น
  • รองรับการอัพโหลดไฟล์จากฝั่งไคลเอนต์ (เดิมที่ไม่รองรับการส่งไฟล์) ซึ่งจะใช้ควบคู่กับ File API ในหัวข้อก่อน
  • ส่งข้อมูลแบบข้ามหลายโดเมน ซึ่งรุ่นก่อนเรียกได้เฉพาะโดเมนเดียวกัน
รายละเอียดอ่านได้จาก AJAX 2: What is coming with XMLHttpRequest Level 2? - JS Classes blog

8. CSS3

HTML5 - CSS3
CSS3 มีความสามารถเพิ่มขึ้นจาก CSS2 ในปัจจุบันมาก เพิ่มฟีเจอร์ของแวดวงสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหน้า การควบคุมการไหลของข้อความ และฟอนต์เข้ามาอีกมาก แต่ก็ยังมีเรื่องอื่นๆ เช่น 3D, เสียงพูด, แอนิเมชัน ฯลฯ (ดูข่าวเก่าเรื่อง CSS3 Regions ประกอบ)
เทคโนโลยีอีกตัวที่เกี่ยวข้องกันคือ Web Open Font Format (WOFF) ที่ช่วยให้เราฝังฟอนต์เข้ามาในเว็บเพจได้ด้วย
รายการของชุดเทคโนโลยีใน CSS3 ทั้งหมดดูได้จาก CSS3.info

สถานะการรองรับ HTML5 ของเบราว์เซอร์ต่างๆ

เทคโนโลยีทั้ง 8 หมวดเป็นตัวแทนของเทคโนโลยีเว็บรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเยอะขนาดนี้ซับซ้อนมาก และต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะทำเสร็จ อย่างไรก็ตาม เบราว์เซอร์ในปัจจุบันก็เริ่มรองรับมาตรฐาน "ฉบับร่าง" ในบางประเด็นแล้ว และเว็บดังๆ บางแห่งก็เริ่มใช้ฟีเจอร์ HTML5 กับงานจริงแล้วเช่นกัน
เพื่อให้ติดตามได้ง่ายว่าเบราว์เซอร์ตัวไหนรองรับฟีเจอร์อะไรบ้าง ก็มีเว็บไซต์หลายแห่งทำตาราง-แผนภาพเปรียบเทียบให้ดูง่ายๆ เช่น
  • Wikipedia ข้อมูลละเอียดพร้อมลิงก์อ้างอิง
  • Can I Use ทำตารางเปรียบเทียบว่าคุณสมบัติใดใช้ได้บนเบราว์เซอร์ยี่ห้อไหน รุ่นไหนได้บ้าง
  • FindmebyIP.com ทำตารางเปรียบเทียบแบบดูง่ายๆ ภายในเว็บเพจหน้าเดียว
  • HTML5Test.com ทดสอบกับเบราว์เซอร์ที่เราใช้อยู่ในขณะนั้น และได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นคะแนนรวม
  • HTML5 Readiness ทำเป็นแผนภาพ infographic แบบครึ่งวงกลม แยกตามมาตรฐานแต่ละส่วน (ใช้ข้อมูลจาก Can I Use อีกทีหนึ่ง)

ข้อมูลเพิ่มเติม

คัดมาเฉพาะอันที่เจ๋งๆ นะครับ ตามไปอ่านกันต่อได้
เว็บไซต์ของผู้ผลิตเบราว์เซอร์
  • HTML5 Rocks ของกูเกิล มีทั้งเอกสาร tutorial และโค้ดสำหรับทดสอบ-สาธิตการทำงาน
  • หน้าแนะนำ HTML5 ของ Mozilla Developer Network รวมข้อมูลเชิงเทคนิคไว้ครบถ้วน
  • HTML5 Labs เว็บไซต์สำหรับนักพัฒนา HTML5 ของไมโครซอฟท์
  • HTML5 Please แนะนำโดยคุณ @pittaya
เดโม
เอกสารอื่นๆ
  • HTML5 for Web Developers สเปก HTML5 แบบอ่านง่าย เหมาะสำหรับนักพัฒนาเว็บ ตัดส่วนที่ไม่สำคัญในสเปกของ W3C ออกไป
  • W3Schools HTML5 Tutorial เป็น online reference/tutorial แบบสั้นๆ ตามสไตล์ของ W3Schools
  • เอกสารของ InfoWorld เป็น PDF ที่เขียนโดยนิตยสาร InfoWorld ต้องสมัครสมาชิกก่อนจึงจะโหลดได้ (โหลดฟรี) ข้อมูลละเอียดและเนื้อหาอัพเดต
  • Dive Into HTML5 หนังสือแจกฟรีของ Mark Pilgrim (แนะนำโดยคุณ j03w)

    ขอบคุณเว็บ : www.blognone.com/news/29947/รู้จักกับ-html5-ภาคหนึ่ง-html5-คืออะไร
Custom Search